สวัสดีค่ะทุกท่าน
บทความในวันนี้ ดิฉัยอยากจะพูดถึงเรื่อง
“การมีร่างกายที่แข็งแรงสิ่งสำคัญย่อมอยู่ที่การมีจิตใจที่แข็งแรง – การทานอาหาร”
ดิฉันเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก
ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการเรียนรู้ด้วยตนเอง
และไม่เพียงแค่การหาความรู้เท่านั้น ยังต้องลงมือปฏิบัติจริงด้วย
หากร่างกายแข็งแรงก็จะเป็นคนที่มีความคิดในแง่บวก
มีความคล่องแคล่ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2021 ดิฉันติดเชื้อโควิด
และเมื่อเร็วๆ นี้ก็ติดเชื้อโควิดอีกเป็นครั้งที่สอง การใช้ชีวิตหมดไปกับการพักฟื้น
และเป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อสภาพร่างกายย่ำแย่ สภาพจิตใจก็มุ่งแต่จะคิดในแง่ลบ
แต่อาจถูกต้องกว่าถ้าจะพูดว่าไม่สามารถคิดในแง่บวกได้
แทนที่จะพูดว่าคิดแต่ในแง่ลบ
ในตอนต้น ดิฉันกล่าวว่าดิฉันเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ
ซึ่งดิฉันคิดว่าทุกท่านก็น่าจะทราบเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี
ทานวิตามินซีเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรค
ทานโปรตีนเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ
ทานคลอลาเจนเพื่อให้ผิวเต่งตึง
สารอาหารแต่ละชนิดย่อมมีสรรพคุณตามที่ระบุไว้
แต่ดิฉันเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าจะทานอะไรก็ตาม การสร้างความสมดุลถือเป็นสิ่งที่สำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น สารอาหารที่เรารับประทานเหมาะกับร่างกายหรือไม่ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
หากเปรียบร่างกายของคนเราเป็นรถ ก็ต้องเติมน้ำมันที่เหมาะกับประเภทของรถ
ซึ่งน้ำมันก็คืออาหารที่เหมาะกับตัวเรานั่นเอง
ดิฉันเคยเข้ายิมฝึกออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
โดยมีผู้ฝึกสอนส่วนตัวเป็นระยะเวลา 1 ปีตั้งแต่ปีที่ผ่านมาค่ะ
โดยจะเน้นเรื่องการฝึกเวทเทรนนิ่ง (เป็นการออกกำลังกายที่ฝึกฝนความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ)
พร้อมกับรับคำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหาร
โดยได้รับคำแนะนำว่า “ให้ลดการทานคาร์โบไฮเดรตและเพิ่มโปรตีนให้มาก”
ดิฉันกลายเป็นคนที่มีไขมันในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ปริมาณกล้ามเนื้อก็เพิ่มขึ้น และค่อยๆ กลายเป็นคนอ้วนไปแล้วค่ะ
เสื้อผ้าที่เคยใส่ได้จนถึงตอนนี้ ก็ใส่ไม่ได้
แทนที่จะมีรูปร่างดี กลับกลายเป็นคนที่ตัวเหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ความแข็งแรงก็หายไปหมด แค่ก้าวขึ้นลงบันไดยังมีอาการหายใจติดขัด
ร่างกายเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง จิตใจของดิฉันก็มีแต่ความคิดในแง่ลบ
และแล้วถึงเวลาเข้ารับการตรวจสุขภาพ
ตัวเลขค่าสุขภาพแย่ลงกว่าเดิม โดยมีการชี้ให้เห็นถึงอาการ “ไขมันพอกตับระยะที่ 1”
ทั้งๆ ที่แอลกอฮอลล์ก็ไม่ดื่ม ของหวานก็ไม่ทาน ไขมันพอกตับคืออะไร—- ดิฉันประหลาดใจมาก
ดิฉันจึงเลิกใช้บริการผู้ฝึกสอนส่วนตัวในยิมไปเลยค่ะ
จากนั้นจึงได้กลับมาทบทวนเรื่องร่างกายของตัวเองอีกครั้ง
ดิฉันเป็นคนเอเชีย ซึ่งในกลุ่มนี้ก็หมายรวมถึงคนญี่ปุ่นด้วย
แต่ขนาดและสภาพร่างกายจะแตกต่างกันออกไปตามเชื้อชาติ
และดิฉันได้ทราบมาว่ามีการทานอาหารที่เหมาะกับคนญี่ปุ่นด้วย
คนญี่ปุ่นแต่เดิมเป็นเกษตรกร วิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นจึงทาน “ข้าว” เป็นหลัก
แม้ปริมาณโปรตีนจะน้อย แต่ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้
จากที่ลดการทานข้าวและเพิ่มการทานโปรตีนให้มากขึ้น
ร่างกายของดิฉันกลับกลายเป็นผิดปกติ
ปัจจุบันดิฉันได้เปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นการทาน “ข้าว” เป็นหลักแล้วค่ะ
พอเปลี่ยนเป็นแบบนี้ ก่อนอื่นเลย “แพนด้า” ใต้ตาก็หายไป
สามารถขึ้นลงบันไดได้โดยหายใจไม่ติดขัด
และยังรู้สึกว่าเลือดในร่างกายไหลเวียนได้ดีขึ้น
สุขภาพดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างสบาย
จิตใจกลับมาสงบได้เหมือนเดิมแล้วค่ะ
ดิฉันคิดว่าผู้ที่อ่านบทความนี้ส่วนมากเป็นคนไทย
และน่าจะมีอาหารที่เหมาะกับคนไทย
ซึ่งน่าจะเป็นการทานอาหารไทยตามวิถีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานค่ะ
ดิฉันคิดว่าตอนนี้ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสภาพร่างกายและสุขภาพ
อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยหันมาเลือกทานอาหารที่เหมาะสมกับตัวเราค่ะ
ดิฉันหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านนะคะ


