สวัสดีค่ะทุกท่าน Essay ในครั้งนี้จะขอพูดถึงเรื่องส่วนตัวนะคะ
ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2561 ดิฉันจะไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท
โดยมีห้วข้อการศึกษาวิจัย คือ “ปัญหาและการบริหารจัดการแรงงานสำหรับบริษัทต่างชาติในประเทศไทย”
ดิฉันมาเมืองไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2541 ปีนี้ก็อยู่เมืองไทยมาครบ 20 ปีแล้ว จากการได้มาอยู่
และได้ทำงานที่นี้ ทำให้ดิฉันมีความคิดว่า “อยากทำในสิ่งที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทย”
และ “อยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย”
แม้จะต้องเรียนก็จะยังทำงานไปด้วย เมื่อเริ่มต้นสมัครเรียน
ดิฉันจึงทำ “แผนการวิจัย” ไม่ใช่แค่เรียนและทำวิจัยอย่างเดียว
ดิฉันตัดสินใจแล้วว่าอยากทำวิจัยเพื่อช่วยประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น และช่วยสังคม
ดิฉันขออนุญาตเขียนถึงแผนการวิจัยของดิฉันนะคะ
《ระเบียบวิธีวิจัย》
[หัวข้อวิจัย]
“ปัญหาและการบริหารจัดการแรงงานสำหรับบริษัทต่างชาติในประเทศไทย”
[บริบทการทำวิจัย]
ในปี 2544 ดิฉันได้จัดตั้งบริษัทขึ้นที่ประเทศไทย
ซึ่งปัจจุบันดิฉันเป็นผู้บริหารบริษัทแปลเอกสาร บริษัทจัดหาล่าม และบริษัททำหนังสือ
ด้วยตำแหน่งของดิฉัน ดิฉันจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายไทย
โดยเฉพาะกฎหมายแรงงาน ก่อนหน้านี้ดิฉันเข้าใจภาษาไทย
แต่ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายเพราะไม่มีความรู้ด้านกฎหมายของญี่ปุ่น
ในฐานะผู้บริหารบริษัทแปลเอกสาร ดิฉันจึงคิดเสมอว่า
“ถ้าไม่มีความรู้ด้านกฎหมายในภาษาแม่ ก็จะไม่สามารถเข้าใจกฎหมายในภาษาอื่นได้”
ถ้าไม่เข้าใจกฎหมายที่เป็นภาษาแม่ถึงจะสามารถใช้ภาษาไทยได้ แต่ก็เข้าใจเรื่องกฎหมายได้ยาก
ดิฉันจึงเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย Nihon เมื่อเดือนเมษายน ปี 2553
และจบการศึกษาในเดือนมีนาคม 2557
เมื่อดิฉันได้ศึกษาด้านกฎหมายที่ประเทศญี่ปุ่นจึงเริ่มเข้าใจกฎหมายของประเทศไทย
แต่มีความเข้าใจเพียงบางส่วนยังนำมาเชื่อมโยงกันไม่ได้
จนต่อมาเมื่อสามารถเชื่อมโยงกฎหมายกับการบริหารบริษัทได้แล้ว
ดิฉันจึงเข้าใจว่ากฎหมายไทยกับกฏหมายญี่ปุ่นแตกต่างกันอย่างไร
ตัวอย่างคดีต่างกันอย่างไร การตีความและความขัดแย้งระหว่างกฎหมายกับการปฏิบัติเป็นอย่างไร
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2558 ดิฉันได้ไปเป็นอาจารย์ที่ ส.ส.ท.
โดยสอนเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานของไทยให้แก่ผู้แทนนิติบุคคลจากบริษัทญี่ปุ่นต่างๆ
แล้วก็บริหารบริษัทไปด้วย ดิฉันจึงนำงานไปปรับใช้ในการสอนกฎหมายว่าด้วยแรงงานของประเทศไทย
ความแตกต่างของตัวอย่างคดีความ ความขัดแย้งระหว่างกฎหมายกับการปฏิบัติ
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายไทยกับกฎหมายญี่ปุ่น
และความแตกต่างในการตีความในแง่ของกฎหมายแรงงาน
ดิฉันคิดว่าควรมีวิธีการแก้ปัญหารูปแบบอื่นก่อนที่จะนำหลักทางกฎหมายมาใช้ในการแก้ปัญหาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
และไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการนำกฎหมายมาใช้เพียงอย่างเดียว
ต้องลองวิธีการอื่นๆ ก่อนที่จะนำหลักกฎหมายมาใช้
ในฐานะที่ดิฉันเป็นครู ยิ่งสอนกฎหมายว่าด้วยแรงงาน
ยิ่งคิดว่าไม่ว่าจะคนไทยหรือคนญี่ปุ่น สิ่งที่สำคัญคือการสื่อสารและความเข้าใจกัน
ในเวลาที่สอนมักจะมีคำถามเกี่ยวกับ “วิธีป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการจ้างงาน”
จากผู้มาฟังบ่อยครั้ง ในความเป็นจริงก็สามารถนำกฎหมายมาใช้ได้
แต่ให้คิดว่าอะไรคือสาเหตุและเราอาจป้องกันได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้น
ทั้งนี้ “ปัญหาและการบริหารจัดการแรงงานสำหรับบริษัทต่างชาติในประเทศไทย”
เป็นบริบทการทำวิจัยในฐานะชาวต่างชาติที่ใช้ประสบการณ์การบริหารบริษัทในประเทศไทย
[วัตถุประสงค์ของการวิจัย]
เพื่อแสดงให้เห็นระเบียบวาระและแนวทางการปฏิบัติเพื่อป้องกันปัญหาแรงงาน
และช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
[การทบทวนวรรณกรรม]
การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ข้างต้นและสรุปแนวความรู้
[วิธีวิจัย]
ใช้ความรู้ก่อนการวิจัยและประสบการณ์ส่วนตัวในการตั้งสมมติฐานว่า “การควบคุมจะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง”
หรือ “ดีขึ้น” และการสอบถามบริษัทญี่ปุ่นที่มาทำธุรกิจในไทยและบริษัทไทย
[เป้าหมายการวิจัย]
งานวิจัยนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นและจะช่วยสร้างสันติในโลกได้